พื้นฐาน Forex

Forex ขั้นพื้นฐานสำหรับเริ่มต้นซื้อขาย

คุณจะได้เรียนรู้อะไรจากที่นี่?

การซื้อขาย Forex เป็นหัวขอที่ค่อนข้างกว้าง ในส่วนนี้ เราจะมาเกริ่นเล็กน้อยเกี่ยวกับทุกเรื่อง เพื่อให้คุณมีพื้นฐานเพียงพอสำหรับการเริ่มต้น ตั้งแต่ประวัติของการซื้อขาย Forex และส่วนของเรื่องทางเทคนิค จนไปถึงความสำคัญของการบริหารความเสี่ยงและจิตวิทยาในการซื้อขาย หัวข้อเหล่านี้จะทำให้คุณมีความรู้พื้นฐานในการเข้าสู่ตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดของโลก ไปเริ่มกันเลย!

ภาพรวม

Forex คืออะไร?

ตลาดซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยน (Forex หรือ FX) คือการแลกเปลี่ยนสกุลเงินข้ามประเทศ และเป็นตลาดการเงินที่มีสภาพคล่องมากที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าการซื้อขายสกุลเงินกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ในวันเดียว ทำให้สินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ได้รับความนิยมน้อยลง Forex ไม่เหมือนกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ตรงที่ไม่มีตลาดแลกเปลี่ยนผ่านส่วนกลาง และมีการซื้อขายผ่านธนาคาร โบรกเกอร์ ตัวแทนจำหน่าย สถาบันการเงิน และผ่านบุคคลเป็นการส่วนตัวเป็นหลัก

เนื่องจากความสามารถของสถาบันทางการเงินในการซื้อขาย Forex ทำให้ตลาด Forex เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ (ปิดให้บริการในเช้าวันเสาร์)ก่อนถึงช่วงปลายของทศวรรษ 1990 การซื้อขาย Forex เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปสำหรับเทรดเดอร์ระดับสถาบันเท่านั้น และแม้ว่าเทรดเดอร์รายย่อยจะสามารถซื้อขายในตลาด Forex ได้ก็ตาม แต่ Forex พึ่งเริ่มโด่งดังและเป็นเรื่องปกติทั่วไปสำหรับบุคคลทั่วไปในการทำกำไรเมื่อไม่นานมานี้

สกุลเงินส่วนใหญ่ของโลกเป็นแบบ “free floating” ซี่งหมายความว่าสกุลเงินจะมีการรักษามูลค่าเอาไว้ และจะแข็งค่าและอ่อนค่ากับสกุลเงินอื่น ๆ ด้วย สกุลเงินจะมีการลิสต์เป็นคู่เสมอ เพราะจะต้องเทียบประสิทธิภาพเป็นคู่

ทำไมคุณต้องซื้อขาย Forex?

การซื้อ Forex มีหลากหลายวัตถุประสงค์ด้วยกัน มีอยู่หลายระดับการซื้อขายที่ส่งผลกระทบกับตัวคุณโดยที่ไม่รู้ตัว สำหรับทุกการซื้อขาย เนื้อหา ส่วนผสม ผลพลอยได้ ส่วนประกอบ หรือวัสดุอาจไม่ได้จำเป็นต้องมาจากแหล่งที่มาภายในประเทศเสมอไป องค์ประกอบหลายอย่างอาจถูกนำเข้ามาจากต่างประเทศ และด้วยเหตุนี้เองจึงต้องมีการแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศ

สำหรับมุมมองทางการเงิน บางคนอาจซื้อขายในตลาด Forex เพื่อทำกำไร เมื่อใช้คู่สกุลเงินที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับดอลลาร์สหรัฐ (cross currency pair) พวกเขาอาจแลกเปลี่ยนสกุลเงินที่มีเป็นสกุลเงินต่างประเทศ โดยหวังให้ค่าสกุลเงินภายในประเทศลดต่ำลง เพื่อให้เมื่อคุณแปลงกลับเป็นสกุลเงินเดิม คุณจะได้รับมูลค่ามากกว่าเดิม

ผู้นำเข้าและส่งออกสินค้าและบริการต่างประเทศมีโอกาสดี ๆ มากมายผ่านทางตลาดต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ด้วยอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศที่มีความผันผวน การชำระเงินอาจเป็นเรื่องยาก ในตอนแรกบริษัทต่าง ๆ จะตกลงขายตามราคาที่ตกลงกันไว้ จากนั้นในวันชำระเงิน มูลค่าที่ตกลงไว้จะตกลงน้อยกว่าเดิมมาก อันเนื่องมาจากการผันผวนของสกุลเงินที่เรียกว่า “ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน”

คุณจะได้พบกับธุรกิจทุกประเภท ตั้งแต่สถาบันการเงินขนาดใหญ่จนไปถึงผู้ขนส่งรายย่อยที่ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน พูดง่าย ๆ ก็คือ บริษัทเหล่านี้จะวางมาตรการเพื่อให้แน่ใจว่ามูลค่าชำระเงินที่ตกลงไว้จะยังคงมีมูลค่าเท่าเดิม ณ วันที่ชำระเงิน ไม่ว่าจะมีการผันผวนของสกุลเงินมากแค่ไหนก็ตาม

8 สกุลเงินหลัก

ในต่างประเทศ มีสกุลเงินทั้งหมด 8 สกุลเงินที่มีการซื้อขายมากกว่าสกุลเงินอื่นๆ โดยสกุลเงินเหล่านี้มักถูกเรียกว่า “สกุลเงินหลัก” ได้แก่

  • USD — ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
  • JPY — เยนญี่ปุ่น
  • GBP — ปอนด์บริติช
  • CAD — ดอลลาร์แคนาดา
  • EUR — ยูโร
  • CHF — ดอลลาร์สวิตเซอร์แลนด์
  • AUD — ดอลลาร์ออสเตรเลีย
  • NZD — ดอลลาร์นิวซีแลนด์

เวลาซื้อขาย

ในบางพื้นที่ของโลกจะเปิดให้ซื้อขายในบางเวลาของวันเสาร์ เพราะในตลาดที่อื่น ๆ ยังคงเป็นวันศุกร์อยู่

สถาบันทางการเงินในประเทศเหล่านี้อาจติดต่อกับตลาด Forex ในระหว่างช่วงเวลาทำการ ตลาด Forex เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในชายฝั่งตะวันออกของประเทศออสเตรเลีย เวลาทำการของตลาดที่เกี่ยวข้องจะเป็นไปตามข้อมูลดังต่อไปนี้

  • เซสชั่น ซิดนีย์ เริ่มต้นที่ 7:00am และสิ้นสุด 4:00pm โดยประมาณ
  • เซสชั่น โตเกียว เริ่มต้นที่ 9:00am และสิ้นสุด 6:00pm โดยประมาณ
  • เซสชั่น ลอนดอน เริ่มต้นที่ 5:00pm และสิ้นสุด 2:00pm โดยประมาณ
  • เซสชั่น นิวยอร์ก เริ่มต้นที่ 10:00pm และสิ้นสุด 7:00pm โดยประมาณ
Trading sessions in Sydney, Tokyo, London, and New York.

การซื้อขาย Forex มีหลักการทำงานอย่างไร?

เทรดเดอร์รายบุคคล (รายย่อย) ต้องการซื้อขายคู่สกุลเงินโดยการถือสกุลเงินที่แข็งค่า และแปลงสกุลเงินที่ถือครองเป็นสกุลเงินอื่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงค่าเงินตก อย่างไรก็ตามในปัจจุบันผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่พัฒนามาเพื่อสร้างผลกำไรจากทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง

ผลิตภัณฑ์การเงินที่มีความซับซ้อนนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ สัญญา ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ผ่านทางโบรกเกอร์ของคุณเพื่อทำการซื้อขาย โบรกเกอร์ของคุณจะทำให้คุณสามารถซื้อหรือขายสัญญาดังกล่าวเพื่อทำกำไร คุณจะไม่สามารถซื้อหรือขายสัญญาเหล่านี้จริง ๆ ได้ แต่จะเป็นการดำเนินตามคำสั่งซื้อขายแทน

ตำแหน่งที่เข้าเพื่อทำกำไรจากมูลค่าสกุลเงินที่เพิ่มขึ้นคือ คำสั่งซื้อ(BUY order) ส่วนตำแหน่งที่เข้าเพื่อทำกำไรจากมูลค่าสกุลเงินที่ตกลงคือ คำสั่งขาย(SELL order)

พื้นฐาน Forex

คู่สกุลเงินคืออะไร?

สกุลเงินมีการวัดเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ เสมอซึ่งมีชื่อเรียกโดยทั่วไปว่า คู่สกุลเงิน คู่สกุลเงินมีการแบ่งแยกออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ได้แก่ คู่หลัก (Majors), คู่รอง (Minors) และคู่เกิดใหม่ (Exotics) คู่สกุลเงินหลักคือคู่สกุลเงินที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ EUR/USD, USD/JPY, GBP/USD และ AUD/USD

คู่สกุลเงินส่วนใหญ่เป็นแบบ free floated ซึ่งหมายความว่าคู่สกุลเงินเหล่านี้จะไม่มีราคาล็อกไว้กับสกุลเงินตัวอื่น และสามารถเพิ่มหรือลดมูลค่าได้อย่างอิสระ

A currency pair is shown with EUR as the base currency and USD as the quote currency.

Pip คืออะไร?

Pip คือหน่วยวัดการเปลี่ยนแปลงในสกุลเงินอ้างอิง (underlying currency) โดยทั่วไปแล้วจะเป็นทศนิยมหลักที่สี่ (0.0001) ของราคาสกุลเงินปัจจุบัน ยกเว้นกับสกุลเงินเยนญี่ปุ่นที่ไม่มีหน่วยวัดเงินเซนต์ในสกุลเงินของพวกเขา (สำหรับสกุลเงินเยนญี่ปุ่น pip คือทศนิยมหลักที่สอง)

AUD/USD 0.70074, the fourth decimal place (7) called pip, whereas USD/JPY 113.215, the second decimal place (1) called pip.

ทศนิยมหลักที่สี่ (ทศนิยมหลักที่สองสำหรับสกุลเงินเยนญี่ปุ่น) ถูกทำเครื่องหมายเป็นสีแดงไว้เพื่อแสดงว่า pip อ้างอิงถึงทศนิยมตำแหน่งใด หากราคา 0.70074 ขยับไปที่ 0.70084 เราจะถือว่ามีการเคลื่อนไหว 1 pip ในทำนองเดียวกัน หากราคา 113.215 ขยับไปที่ 113.225 ก็คิดเป็นการเคลื่อนไหว 1 pip เช่นกัน

pip เหมาะสำหรับการใช้เป็นตัวอ้างอิงว่าเทรดเดอร์ทำเงินได้เท่าไหร่ตามปริมาณการซื้อขายของพวกเขา ตัวอย่างเช่น หากเทรดเดอร์ซื้อ 1 ล็อตมาตรฐาน (100,000) ในคู่สกุลเงิน AUD/USD นั่นหมายความว่ามูลค่าของแต่ละการเคลื่อนไหวของ pip คือ 10 USD หากมีการเคลื่อนไหว 10 pip ก็จะเกิดเป็นกำไร/ขาดทุนเท่ากับ 100 USD

มีอยู่บ่อยครั้งที่คำอธิบายที่ใช้เพื่อวัดว่าเทรดเดอร์ทำผลงานได้เป็นอย่างไร มีการวัดโดยดูว่าพวกเขาได้ “pip” มากน้อยแค่ไหนในช่วงเวลาที่กำหนด

Bid, Ask และ Spread คืออะไร?

สำหรับสกุลเงิน คุณสามารถทำได้ทั้งซื้อและขาย และจะมีส่วนต่างระหว่างการซื้อและการขายเสมอ ราคาขายและซื้อจะแสดงโดย Bid และ Ask ตามลำดับ

หากคุณซื้อ BUY คุณจะซื้อที่ราคา ASK หากคุณขาย คุณจะขายที่ราคา BID วิธีจำง่าย ๆ ก็คือคุณจะซื้อที่ราคาสูงกว่าเสมอ รายการที่แสดงด้านล่างคือคู่สกุลเงินที่แสดงทั้งราคา Bid และราคา Ask

โปรดจำไว้ว่าหากคุณเปิดตำแหน่งซื้อ แล้วต้องการที่จะปิดตำแหน่งดังกล่าว จะถือว่าคุณกำลังขายคืนกลับไป ทำให้ราคาที่คุณปิดตำแหน่งเป็นราคา BID และในทางกลับกัน การปิดตำแหน่งเมื่อขายจะเกิดขึ้นที่ราคา ASK

A table showing the major currency pairs with their bid, ask price, and spread.

Spread คือส่วนต่างระหว่าง BID และ ASK สิ่งนี้เป็นตัวบ่งบอกถึงส่วนต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขาย หากคุณมองที่ภาพด้านบนและดูที่คู่สกุลเงิน AUD/USD คุณจะสังเกตเห็นว่า BID เท่ากับ 0.69923 และ ASK เท่ากับ 0.69940

นี่คือค่า spread ที่เท่ากับ 1.7 pips ซึ่งคิดมาจาก 0.69940 - 0.69923 = 0.00017 = 1.7 pip

ในแพลตฟอร์ม MetaTrader 4 (MT4) spread จะแสดงเป็นคะแนน(1 pip = 10 คะแนน) ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไม spread จึงเท่ากับ 17 ในภาพที่แสดงด้านล่าง

เลเวอเรจ (Leverage) คืออะไร?

เลเวอเรจ (Leverage) คือจำนวนเงินที่คุณยืมตามการเงินฝากในบัญชีของคุณ ค่าเริ่มต้นของเลเวอเรจถูกตั้งไว้ที่ 1:100 ซึ่งหมายความว่าสำหรับทุก ๆ 1 USD ที่คุณมีในบัญชีของคุณ คุณจะมีกำลังซื้ออยู่ที่ 100 USD หากคุณมีเงิน 1,000 USD ในบัญชีของคุณ คุณจะมีกำลังซื้ออยู่ที่ 100,000 USD

สิ่งที่ควรทราบก็คือ 1 สัญญามาตรฐานเท่ากับ 100,000 ของสกุลเงินหลัก หากคุณต้องการซื้อขายสัญญาแบบเต็มแล้วมีเลเวอเรจอยู่ที่ 1:500 คุณสามารถเปิดตำแหน่งได้โดยมีเงินอยู่ในบัญชีเพียงแค่ 200 USD (200 USD x 500 = 100,000 USD) เลเวอเรจสูง ๆ สามารถช่วยให้คุณสามารถเปิดตำแหน่งด้วยจำนวนเงินที่มากขึ้น โดยมีเงินทุนในบัญชีของคุณไม่มาก แต่ข้อเสียก็มีเหมือนกัน การเปิดตำแหน่งด้วยจำนวนเงินที่มากจะส่งผลให้การเคลื่อนไหวของดอลลาร์ต่อ pip มากขึ้น ทำให้สามารถล้างเงินทุนที่มีจำนวนไม่มากให้หายไปได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ

กรณีศึกษา

ในตอนนี้คุณได้เรียนรู้พื้นฐานของการซื้อขาย Forex เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยสรุปก็คือหากคุณต้องเลือกคู่สกุลเงิน ตัวอย่างเช่น AUD/USD แล้วเปิดคำสั่งซื้อ 2 สัญญามาตรฐาน (2 ล็อต) ที่ราคา 0.84693

คุณต้องมียอดเงินอย่างน้อย 2,000 USD ในบัญชี โดยใช้เลเวอเรจ 1:100

ด้วยขนาด 2 สัญญามาตรฐาน คุณจะได้ 20 USD ต่อการเคลื่อนไหว pip ตำแหน่ง BUY จะเป็นตัวระบุว่าหากราคาคู่สกุลเงิน AUD/USD แข็งค่า คุณจะทำกำไรได้

สมมติว่า AUD/USD แข็งค่าขึ้นเป็น 0.84973 คุณจะได้เพิ่ม 28 pips ส่งผลให้ได้กำไร 28 pips x 20 USD = 560 USD ซึ่งเทียบเท่ากับ 659 AUD

เริ่มต้นก้าวแรก

บัญชีทดลองใช้เป็นประโยชน์สำหรับผู้เริ่มต้น คุณสามารถสมัครและฝึกฝนโดยใช้บัญชีทดลองได้เสมอ โดยที่ไม่ต้องนำเงินจริงมาเสี่ยง

Basic functions of MetaTrader 4 platform.

ในครั้งแรกที่เข้าสู่ระบบมายังแพลตฟอร์ม MetaTrader 4 อาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อน อย่างไรก็ตาม โปรดใช้เวลาสักครู่เพื่อดูข้อมูลที่มีอยู่ หน้าต่าง Market Watch จะแสดงราคาสกุลเงินสำหรับคู่สกุลเงินที่มี และแผนภูมิจะแสดงข้อมูลไทม์ไลน์ตามการแสดงราคา

ต่อมาโปรดลองดูที่คู่สกุลเงินสักหนึ่งคู่ ลองเลือกมาได้เลย เลือกแบบสุ่มก็ได้ สมมติว่าคุณเลือกคู่สกุลเงิน AUD/USD (โปรดดูเลข 1 ในภาพด้านบนประกอบ) เปิดคำสั่งซื้อขาย แล้วคุณจะได้พบกับตัวเลือกให้ "SELL"(ขาย) หรือ "BUY"(ซื้อ) (โปรดดูเลข 2 ในภาพด้านบนประกอบ) ต่อมาเราต้องการให้คุณซื้อขาย คุณสามารถดำเนินการคำสั่งซื้อขายโดยคลิกที่ปุ่ม “SELL”(ขาย) หรือ “BUY”(ซื้อ)

ในตอนนี้คุณได้ทำการซื้อขายครั้งแรกบนแพลตฟอร์ม MetaTrader 4 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว (โปรดดูเลข 3 ในภาพด้านบนประกอบ)

ในตอนนี้คุณจะเห็นได้ว่าการซื้อขายได้รับการดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใช้เวลาสักครู่ในการดูว่าการซื้อขายเมื่อครู่มีผลงานเป็นอย่างไร

หลังจากผ่านไปสักครู่ คุณจะสังเกตเห็นว่าการซื้อขายของคุณมีโอกาสได้ทั้งกำไรและขาดทุน (โปรดดูเลข 4 ในภาพด้านบนประกอบ)

ไม่ว่าการซื้อขายแบบสุ่มครั้งนี้จะเกิดขึ้นที่ตำแหน่งไหนก็ตาม ในตอนนี้คุณก็ได้รู้วิธีการทำกำไร และการขาดทุนในเวลาเดียวกัน ไม่ต้องกังวลไปหากการซื้อขายของคุณขาดทุน เพราะนี่เป็นเพียงการซื้อแบบสุ่มๆ และเป็นเพียงแบบฝึกหัดเพื่อฝึกซื้อขายเท่านั้น วิธีการเลือกทิศทางของการซื้อขายที่เหมาะสมจะมาในภายหลังการพัฒนากลยุทธ์แล้ว

เมื่อได้ฝึกฝนแล้ว ในตอนนี้คุณได้ผ่านขั้นตอนแรกในการเรียนรู้วิธีการซื้อขายแล้ว คุณสามารถปิดการซื้อขายครั้งนี้ได้เมื่อต้องการ หรือคุณสามารถเปิดแล้วนั่งดูต่อก็ได้เช่นกัน

แผนภูมิ Forex

หากคุณอ่านแผนภูมิไม่เป็น คุณจะไม่เข้าใจข้อมูลอะไรเลย และไม่สามารถนำข้อมูลนั้นมาสร้างกลยุทธ์ได้

แผนภูมิสามารถแบ่งได้เป็นสามประเภท ได้แก่

  • แผนภูมิเส้น
  • แผนภูมิแท่ง
  • แผนภูมิแท่งเทียน

แผนภูมิเส้น

แผนภูมิที่อ่านง่ายที่สุดคือแผนภูมิแท่ง เพราะเป็นการแสดงเพียงแค่กราฟเส้นเทียบระหว่างเวลากับราคาเท่านั้น

Forex line chart.

แผนภูมิแท่ง

แผนภูมิถัดไปที่เราจะมาดูกันคือแผนภูมิแท่ง แผนภูมิแท่งไม่ได้แสดงแค่ราคาเท่านั้น แต่ยังแสดงราคาเข้าในแต่ละช่วงเวลา ราคาออกเมื่อสิ้นสุดช่วงเวลา และค่าสูงและต่ำของช่วงเวลาดังกล่าว เส้นแนวนอนแต่ละเส้นจะแสดงถึงหนึ่งช่วงเวลา โดยคุณเป็นคนที่เลือกช่วงเวลาได้เอง ได้แก่ 1 นาที, 5 นาที, 15 นาที, 30 นาที, 1 ชั่วโมง, 4 ชั่วโมง, หนึ่งวัน, หนึ่งสัปดาห์ หรือหนึ่งเดือน

Forex bar chart.

มาเจาะลึกที่แผนภูมิแบบนี้กันสักนิด ปลายของแผนภูมิแท่งแสดงถึงราคาตามที่ระบุ ดังนั้น Open คือราคาเปิด, Close คือราคาปิด, High คือราคาสูงสุด และ Low คือราคาต่ำสุดในช่วงกรอบเวลาดังกล่าว

Explanation of the forex bar chart.

แผนภูมิแท่งเทียน

แผนภูมิแท่งเทียนมีความคล้ายคลึงกับแผนภูมิแท่งเลย แต่มีข้อมูลเสริมเพิ่มเข้ามา ซึ่งก็คือสีแดง (ราคาตก) หรือสีเขียว (ราคาเพิ่มขึ้น) สีต่าง ๆ ทำให้เทรดเดอร์สามารถเห็นภาพได้อย่างง่าย ๆ ว่าแท่งขยับไปในทิศทางขึ้นหรือลงโดยนับจากราคาเข้า

Forex candlestick chart.

ทีนี้มาเจาะลึกที่แผนภูมิแท่งเทียนกันสักนิด ปลายของแผนภูมิแท่งแสดงแท่งจะแสดงราคาตามที่ระบุ ดังนั้น Open คือราคาเปิด, Close คือราคาปิด, High คือราคาสูงสุด และ Low คือราคาต่ำสุดในช่วงกรอบเวลาดังกล่าว

Explanation of the forex candlestick.

ยังงงๆอยู่ใช่ไหม? ไม่ต้องห่วง อ่านต่อไปแล้วเราจะโชว์ให้ดูว่าคุณจะสามารถตีความแผนภูมิเหล่านี้ได้อย่างไรในส่วนถัดไป

ตีความแผนภูมิ

จะอ่านแผนภูมิได้อย่างไร?

ตอนนี้คุณก็ได้รู้จักลักษณะของแผนภูมิเส้น แผนภูมิแท่ง และแผนภูมิแท่งเทียนไปแล้ว แต่จะสามารถตีความได้ยังไงล่ะ?

ก่อนอื่น คุณต้องเข้าใจก่อนว่าแท่งหรือแท่งเทียนจะแสดงถึงหนึ่งกรอบเวลา โดยกรอบเวลาสามารถกำหนดได้ตามความชอบของคุณ ไม่ว่าจะเป็นหนึ่งนาที สามสิบนาที หนึ่งชั่วโมง หนึ่งวัน หรือแม้แต่หนึ่งเดือน ดูตัวอย่างดังต่อไปนี้แล้วคุณจะเห็นได้ว่าแต่ละแท่งคือหนึ่งชั่วโมง

Interpretation of the forex chart.

แกน x แสดงช่วงเวลา และแกน y แสดงราคาของคู่สกุลเงิน ดังนั้น แต่ละชั่วโมงจึงแสดงด้วยหนึ่งแท่งเทียน ในแต่ละชั่วโมงราคาจะมีการผันผวนขึ้นลงจนเกิดเป็นแท่งเทียนที่มีราคา High, Low, Open และ Close

แท่งเทียนแต่ละแท่งสามารถมีขนาดและความยาวได้ทุกแบบ

  • แท่งเทียนยาว ๆ บ่งบอกว่าค่า high และ low มีความแตกต่างกันมาก
  • แท่งเทียนที่สั้นบ่งบอกว่าตลาดไม่มีการเคลื่อนไหวมากนัก
  • ตัวอย่างเช่น ตอนตี 2 มีการเคลื่อนไหวมากกว่า เมื่อเทียบกับตอนตี 3

ไส้เทียนคืออะไร?

เมื่อใช้งานแผนภูมิแท่งหรือแท่งเทียน “ไส้เทียน”(shadows) คือคำที่ใช้เรียกส่วนหนึ่งของแท่งหรือแท่งเทียนที่ไปแตะจุด high หรือ low แต่ไม่ได้ปิดช่วงเวลาดังกล่าวที่จุด high หรือ low คุณจะได้เห็นไส้เทียนของแท่งหรือแท่งเทียนแต่ละแท่ง หากในช่วงเวลาดังกล่าวมีจุด high หรือ low ในภาพด้านล่าง จะมีการวงกลมแท่งเทียนโดยใช้สีม่วง

The forex bar and candlestick that show shadows.

แนวรับคืออะไร?

ไส้เทียนคือสิ่งที่บ่งบอกว่าตลาด ณ เวลานั้นอาจแตะที่จุด high แล้ว แต่มีการถอยกลับและปิดที่จุดที่ต่ำกว่า ไส้เทียนอาจปรากฏขึ้นเมื่อสินทรัพย์อ้างอิง (คู่สกุลเงิน) แตะที่จุดหนึ่ง ๆ ที่มีการต่อต้านจากผู้เข้าร่วมคนอื่น ๆ โดยการเสนอราคาที่สูงกว่าจุด high ที่แสดง

ในทางกลับกันอาจพูดได้ว่า มีแนวรับกดราคาไปอีกทางหนึ่ง หากคุณเห็นไส้เทียนหลายไส้ในทิศทางเดียว เช่น แท่งหรือแท่งเทียนที่มีไส้เทียนในทิศทางเดียวต่อกันไปเรื่อยๆ

Forex “support” illustration.

แนวรับหมายถึงราคา (ตามที่แสดงในเส้นตรงด้านบน) ที่มักจะทำหน้าที่เป็นพื้นเพื่อป้องกันราคาของคู่สกุลเงินไม่ให้ดันต่ำไปกว่าราคาที่แนวรับ

แนวต้านคืออะไร?

ในภาพต่อมา คุณจะเห็นได้ว่าแท่งเทียนแตะที่จุด high หนึ่งๆ แต่ดูเหมือนว่าจะยังเอาชนะจุดที่เพดานไม่ได้

Forex “resistance” illustration.

เส้นแนวนอนที่บ่งบอกว่ามีระดับในจินตนาการเกิดขึ้น ทำให้ผู้เข้าร่วมในตลาดรู้สึกว่าไม่ควรดันค่าเงินทะลุผ่านไป สิ่งที่ตรงข้ามกับแนวรับคือแนวต้าน โดยเทรดเดอร์ต้องวิเคราะห์และวาดทั้งแนวรับและแนวต้านด้วยตนเอง

เส้นแนวโน้มคืออะไร?

เส้นแนวโน้ม (Trend line) คือเส้นที่มักจะวาดบนแผนภูมิเพื่อหาทิศทางของตลาด คนที่อยู่หน้าแผนภูมิจะวาดเส้นจากจุดหนึ่ง ไปยังอีกจุดหนึ่ง เพื่อกำหนดทิศทางของตลาดโดยรวม

Forex “trend lines” illustration.

จุด “x” สองจุดที่เส้นลากผ่าน คือจุด low ของสองช่วงเวลาในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน จุดสองจุดห่างกัน 36 กรอบเวลา (gap ระหว่างช่วงเวลาอาจเป็นตัวเลขใดก็ได้ และไม่จำเป็นต้อง 36 กรอบเวลา) เส้นแนวโน้มจะวาดจากสองจุด low ที่ “x” เส้นนี้เป็นแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจนมาก เส้นแนวโน้มมีประโยชน์กับกลยุทธ์ตามแนวโน้ม

เส้นแนวโน้มมีประโยชน์ในการหาทิศทางของตลาดในปัจจุบัน หากต้องการยืนยันแนวรับและแนวต้าน คุณต้องมีสองจุดเพื่อสร้างเส้น

เส้นแชนแนลคืออะไร?

เส้นแชนแนล (Channel line) จะถูกวาดเพื่อแสดงทิศทางโดยรวม โดยคำนึงถึง “ไส้เทียน”(shadow) ของแท่งที่มีทั้งแนวรับและแนวต้าน

Forex “channel lines” illustration.

การวาดแชนแนลจะทำให้เห็นถึงแชนแนลที่ซื้อขายโดยทั่วไป สิ่งนี้เป็นประโยชน์มากเมื่อใช้ “กลยุทธ์แบบ Range”(ranging strategy) และสำหรับการเข้าถึงโอกาสสำหรับ “กลยุทธ์แบบ Break out” ซึ่งเราจะพูดถึงในส่วนถัดไป

กลยุทธ์ Forex

เมื่อได้ลองซื้อขายแบบสุ่ม ๆ ไปแล้ว คุณคงจะได้เข้าใจแล้วว่าเมื่อวางคำสั่งเพื่อซื้อหรือขาย คุณมีโอกาสทั้งได้และเสีย หลักการค่อนข้างเข้าใจได้ง่าย เลือกทิศทางให้ถูกต้องแล้วคุณจะทำเงินได้เอง แต่คำถามที่สำคัญก็คือ “ฉันจะเลือกทิศทางที่ถูกต้องได้อย่างไรล่ะ?”

ความจริงก็คือ หากเราสามารถรู้ได้จริง ๆ ว่าตอนไหนควรซื้อหรือขาย ทุกคนคงจะรวยกันไปแล้ว พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่มีวิธีใดที่รับประกันได้ว่าจะเลือกทิศทางที่ตรงตามการเคลื่อนไหวของตลาด อย่างไรก็ตามก็มีกลยุทธ์ที่ผ่านการทดลองมาแล้วมากมายที่คุณสามารถใช้เพื่อตัดสินใจได้ ทำให้โอกาสในการซื้อขายที่ได้กำไรมีมากขึ้น

กลยุทธ์ (Strategies) คือแนวทางปฏิบัติที่เป็นระบบและมีแบบแผนตามข้อมูลตลาดที่คุณรู้ การซื้อขาย Forex มีกลยุทธ์ให้ใช้มากมาย โดยคุณสามารถเรียนรู้ได้ฟรีจากการค้นหาผ่านอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ยังมีหนังสือและคนที่จะมาสอนกลยุทธ์เหล่านี้ให้ฟรี ๆ ด้วย เทรดเดอร์ทั้งระดับมืออาชีพและคนที่ทำเป็นงานอดิเรกทั่วโลกจะมีกลยุทธ์อย่างน้อยหนึ่งอย่างที่พวกเขายึดมั่น และเป็นกลยุทธ์ที่มีส่วนต่อความสำเร็จในการซื้อขายจากการทำตามกลยุทธ์การซื้อขาย ส่วนดังต่อไปนี้จะมาพูดถึงกลยุทธ์ยอดนิยมที่เทรดเดอร์หลายคนเลือกใช้

กลยุทธ์แบบ Range

กลยุทธ์แบบ Range (Ranging Strategy) เกิดขึ้นเมื่อสกุลเงินมีการซื้อขายระหว่างขีดจำกัดบนและล่าง และดูเหมือนว่าจะเด้งขึ้นลงระหว่างค่าขีดจำกัด high และ low อย่างต่อเนื่อง เทรดเดอร์จะใช้โอกาสนี้ในการขายเมื่ออยู่ที่ขีดจำกัดบน และซื้อเมื่ออยู่ที่ขีดจำกัดล่าง

ที่ภาพด้านล่าง คุณจะได้เห็นแนวโน้มไซต์เวย์ (sideway trend) ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับคนที่ใช้กลยุทธ์แบบ Range

6-month ranging strategy chart.

กลยุทธ์แบบ Breakout

กลยุทธ์เบรกเอาท์(Breakout Strategy) คือการเบรกเอาท์ของแนวโน้มไซต์เวย์ โดยปกติแล้วโมเมนตัมจะมากที่สุดที่จุดเบรกเอาท์ มีเทรดเดอร์มากมายที่ใช้กลยุทธ์เบรกเอาท์เมื่อราคาทะลุขีดจำกัดด้านบนและด้านล่าง

ที่ด้านล่างนี้คือเบรกเอาท์บางส่วนที่ทำตามช่วงเวลาแนวโน้มไซต์เวย์

Forex breakouts strategy chart.

กลยุทธ์การซื้อขายตามข่าวประชาสัมพันธ์

เทรดเดอร์สายข่าวจะซื้อขายจากข่าวเศรษฐกิจ ตลาด Forex มีการตอบสนองต่อข่าวเศรษฐกิจ ข่าวอัตราดอกเบี้ยจากประเทศ G8 เช่นเดียวกับข่าวการว่างงานของแต่ละประเทศที่เกี่ยวข้อง

เทรดเดอร์สายข่าวจะต้องทราบว่าการเคลื่อนไหวของตลาด Forex ได้เกิดขึ้นตามข่าวเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นแล้วและมีการคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้น การเคลื่อนไหวแบบพุ่งขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็วอันเนื่องมาจากข่าวเศรษฐกิจคือการปรับฐาน (corrections) อันเนื่องมาจากข่าวที่ไม่คาดคิด ทั้งดีกว่าที่คิดหรือแย่กว่าที่คิด

อีกหนึ่งสิ่งที่ควรคำนึงถึงสำหรับเทรดเดอร์สายข่าวก็คือ ในระหว่างที่การรายงานข่าวให้ความรู้สึกไปในทิศทางลบ การเคลื่อนไหวของสกุลเงินมักจะหันไปหาสกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนต่ำและ 'ปลอดภัยกว่า' โดยเฉพาะ USD และ JPY

หากคุณเป็นเทรดเดอร์ที่อยากเริ่มซื้อขายตามข่าวสาร ขอแนะนำให้ทำความเข้าใจเรื่องเศรษฐศาสตร์

ปฏิทินข่าวเศรษฐกิจคือสิ่งที่ควรใช้งานเป็นอย่างมาก ปฏิทินเศรษฐกิจ Forex แสดงวันปล่อยข่าวสำคัญ ๆ อย่างเช่น “ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร” ตัวเลข GDP และข่าวอัตราดอกเบี้ย

ด้านล่างนี้คือตัวอย่างของปฏิทินเศรษฐกิจ

TriumphFX economic calendar.

ปฏิทิน Forex จะแสดงข้อมูลที่คาดการณ์และข้อมูลที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ หากข่าวและข้อมูลที่ปล่อยจริงแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้ คุณสามารถคิดไว้ได้เลยว่าสกุลเงินอ้างอิงของประเทศนั้น ๆ จะตอบสนองในทางลบ

การจัดการความเสี่ยง

การซื้อขายตลาด Forex อาจทำให้คุณได้กำไร อย่างไรก็ตาม คุณมีโอกาสเสียเงินไปจำนวนมากหากไม่บริหารเงินทุนไว้ให้ดี โดยทั่วไปแล้วในแต่ละการซื้อขายจะมีการตั้ง Stop loss ไว้เพื่อให้แน่ใจว่าการซื้อขายที่วิ่งสวนทางคุณจะไม่ทำให้คุณเสียเงินทุนที่ลงทุนไว้จนหมด

Stop loss คือเป้าหมายที่กำหนดไว้ว่าจะปิดที่จุดนั้น การตั้ง stop loss ที่เหมาะสมคือสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะขาดทุนน้อยที่สุด สำหรับเทรดเดอร์ที่ไม่อยากนั่งเฝ้าหน้าจอคอมพิวเตอร์ทุกนาทีที่เปิดตำแหน่ง stop loss คือสิ่งที่คุณห้ามพลาด

การตั้งยอดที่คุณเสียไหวคือสิ่งที่ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน โดยทั่วไปแล้วระดับความเสี่ยงจะถูกกำหนดไว้ระหว่าง 1% และ 5% ของยอดคงเหลือทั้งหมดในบัญชีการซื้อขาย นั่นหมายความว่า ที่ระดับความเสี่ยง 5% คุณจะสามารถซื้อขายแบบขาดทุนได้ 20 ครั้งก่อนที่เงินทุนของคุณจะหมดไป หากคุณพบว่าตัวเองขาดทุนอยู่บ่อยๆ คุณอาจต้องทบทวนกลยุทธ์ใหม่

ยกตัวอย่างเช่น คุณฝากเงินเริ่มต้น 1,000 USD หากต้องการเสี่ยง 2% ต่อการซื้อขาย คุณต้องกำหนด stop loss ไว้ให้ปิดการซื้อขายโดยทำให้คุณขาดทุนเป็นเงิน 20 USD (1,000 USD x 2% = 20 USD)

อย่าลืมตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณบริหารความเสี่ยงแล้ว เพราะนี่คือหนึ่งในส่วนสำคัญที่ส่งผลให้ประสบความสำเร็จในการซื้อขายระยะยาว

จิตวิทยาการซื้อขาย

การจัดการอารมณ์ของคุณ

มีอยู่บ่อยครั้งที่ศัตรูในเรื่องการซื้อขายไม่ใช่ตลาด แต่เป็นตัวคุณเอง เมื่อซื้อขาย ความโลภและความกลัวมักจะเข้ามาจำกัดโอกาสในการได้ผลตอบแทนจากการซื้อขายที่ได้กำไร และในทางกลับกันอาจส่งผลให้ขาดทุนเกินกว่าที่ควรเป็น หรืออาจเปลี่ยนจากการซื้อขายที่ได้กำไรเป็นขาดทุนก็เป็นได้

เทรดเดอร์ทุกคน(ทั้งที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ) มีโอกาสถือการซื้อขายที่ขาดทุนไว้นานเกินไปโดยไม่มีเหตุผลอะไรนอกจาก “ความหวัง” ให้การซื้อขายครั้งนั้นจะกลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง และนี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าการโลภจนเกินไป

หรือ ความกลัวของการรีบขายทำกำไรเร็วจนเกินไป หรือปิดตอนขาดทุนนิดเดียวโดยที่ยังมีโอกาสทำกำไรได้ ก็เป็นอีกหนึ่งการตอบสนองทางอารมณ์ที่ต้องได้รับการปรับเปลี่ยน เทรดเดอร์เก่ง ๆ จะทำตามแผนการซื้อขายอย่างเคร่งครัดทั้งในเรื่องการบริหารเงินและความเสี่ยง การเข้าซื้อ กฎการออก และไม่ปล่อยให้อารมณ์มามีอิทธิพลต่อการซื้อขาย

จากบัญชีทดลอง สู่บัญชีจริง

ช่วงเวลาที่ควรย้ายจากบัญชีทดลองเป็นบัญชีจริงคือคำถามที่เทรดเดอร์มือใหม่หลายคนมักจะถามเข้ามา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการมีวิธีบริหารความเสี่ยงและกลยุทธ์การซื้อขายที่เหมาะสมกับตัวคุณ

แม้ว่าบัญชีทดลองและ “เงินเสมือน” จะดีสำหรับการเรียนรู้แค่ไหนก็ตาม มีอยู่บ่อยครั้งที่มักจะเกิดการหลุดพ้นทางอารมณ์ (emotional detachment) กับการขาดทุนที่เกิดในบัญชีทดลอง ทำให้คุณไม่ได้ความรู้สึกที่แท้จริงกับการปิดการซื้อขายที่ขาดทุน มีอยู่บ่อยครั้งที่ผู้ใช้บัญชีทดลองเสียเงินไปไม่หยุด แต่ก็ยังจะฝากเงินเข้าจำนวนมากต่อไป

เมื่อคุณมีความเข้าใจในเรื่องกลยุทธ์ และควบคุมความวิตกกังวลกับการซื้อขายได้แล้ว คุณก็สามารถเริ่มซื้อขายด้วยเงินทุนจริง ๆ ได้เลย

เริ่มการเทรดทันที

ใช้เวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น